December 16, 2008

| ข้อเขียนในสูจิบัตรนิทรรศการ Yes, I am not โดย สันติ ลอรัชวี|



ใช่ครับ..ผมเปล่า

หลายปีที่ผ่านมา ผมใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการปะทะกันของข่าวสารมากมาย การปรากฏขึ้นของรายการโทรทัศน์ประเภทโต้วาที
รายการคุยข่าว รายการผู้นำคุยกับประชาชน หนังสือพิมพ์ที่มีฝักฝ่ายทางการเมืองอย่างเด่นชัด
โฆษณาที่แฝงตัวมาในรูปของบทความในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และรายการโทรทัศน์ขนาดสั้น รวมถึงพรีเซนเตอร์สินค้า
ที่พยายามประกาศตัวว่าไม่ได้มาชวนเชื่อขายของ..

ปรากฏการณ์ดังกล่าวล้วนแล้วแต่สร้างเงื่อนไขในการดำเนินชีวิตของผม เริ่มตั้งแต่ระดับจุลภาคในห้องน้ำจนถึงเรื่องมหภาคในคูหาเลือกตั้ง
หลายครั้งที่ไม่สามารถคุ้นเคยกับการตกอยู่ในพื้นที่ระหว่างกลาง ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการนั่งชมการแข่งขันเทนนิสตรงอัฒจันทร์กึ่งกลาง
อย่างน้อยผมก็รู้ว่าผมสามารถเชียร์คนใดคนหนึ่งได้อย่างสุดใจ
ไม่เหมือนกับกรณีพิพาทในรายการโทรทัศน์ ระหว่างนาย ก กับ นาย ข อาจทำให้ผมลังเลทุกห้วงบทสนทนา
ไม่ต่างจากอารมณ์ร่วมที่มีต่อละครหลังข่าว ซึ่งมีบทส่งท้ายคล้ายกันคือปิดโทรทัศน์ไปโดยไม่รู้ว่าตอนต่อไปจะเป็นอย่างไร

บางครั้งผมก็เบี่ยงเบนไปสู่การรับรู้ข่าวสารและข้อมูลเชิงวิเคราะห์อาจจะทำให้ผมรู้สึกดีและรู้สึกฉลาดขึ้น แต่ก็เพียงชั่วขณะ
เมื่อได้มีโอกาสนำข้อมูลนั้นไปพูดซ้ำกับผู้อื่นที่ยังไม่ได้อ่าน บทส่งท้ายในวงสนทนาก็คือแยกย้ายกลับบ้านโดยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
กับวาทกรรมทั้งหลาย

น่าแปลกตรงสิ่งที่ผมเชื่อมาตลอดว่าเป็นสิ่งไม่น่าเชื่อ กลับมีอิทธิพลต่อปฏิกริยาที่เป็นรูปธรรมมากกว่า ผู้คนทั้งหลายมักจะเชื่อมั่นต่อเหตุผล
ในการบริโภคของตน ผมเองก็เช่นกัน.. ไม่มีใครยอมรับว่าจับจ่ายสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพราะการชวนเชื่อ
น่าแปลกตรงที่ผมรู้ดีว่ามันไม่ควรเชื่อ แต่ปฏิกริยาตอบสนองที่เกิดขึ้นกลับสอดคล้องประสานอย่างมีตรรกะและเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง

แม้มีการชี้นำให้เห็นผลกระทบของปรากฏการณ์ทั้งหลายว่าทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม ซึ่งผมเคยเชื่ออย่างนั้น
กระทั่งไม่แน่ใจเมื่อพบว่า...ความแตกแยกที่พูดถึงกัน กลับเกิดขึ้นอย่างเด่นชัดในตัวผมเอง

...รอยแยกชัดเจน แต่พรมแดนของการแบ่งแยกกลับเลือนลางจนไม่อาจทำความเข้าใจ
ข้อมูลมหาศาลที่ไหลผ่านเข้ามาเลื่อนไหลซ้อนทับ เสมือนไม่มี “ข้อ” แต่ก็ไม่สามารถพูดได้ว่าไม่มี “มูล”..

ผู้คนรอบข้างที่หนักแน่นกว่า..อาจเคลื่อนไหวถาโถมจนเห็นเด่นชัด
ผู้ที่ดูเบาหวิว..ก็ไคว่คว้าบางสิ่งและกอดรัดมันอย่างแนบแน่น
บางทีทั้งสองฟากฝั่งอาจดีกว่าการอยู่ระหว่างกลาง ไม่อาจหนัก ไม่อาจเบาได้มากกว่านี้

ใช่หรือไม่ว่าไม่มีแก่นสารใดให้ยึดถือ หรือไม่จำเป็นต้องไปยึดถือแก่นสารใด
ณ โอกาสสำหรับนิทรรศการนี้ บทส่งท้ายแตกต่างกัน เพราะปรากฏการณ์ทั้งหลายหลอมรวมเป็นสารเดียวกัน
ก่อเกิดปฏิกริยาตอบสนองที่เป็นรูปธรรม และถึงแม้ว่ามัน “อาจจะไม่ใช่” แต่บางทีแค่เพียงเพราะมัน “ไม่ อาจ จะ ใช่”

Yes, I am not
(Translated by Jananya Triam-Anuruck)

For many past years, my life has been in the crash of overwhelming information. Various kinds of media
have emerged such as debate television programmes, talking news, the leader’s talks to the people, prejudiced
newspapers, advertorials in newspapers and magazines, short television programmes as well as product
presenters who deny their propagandist aims. All these have brought new conditions to my life from micro
elements as in the bathroom to macro aspects as in the election’s stand.
For many times, I find it hard to stand between two things that are totally different. In a tennis match, at
least I can cheer one player over the other without holding back. By contrast, a dispute between Mr. A and Mr. B
that is broadcasted on television can make me feel doubtful in every word both sides utter, the feelings not so
different from watching some soap-operas. When you turn off the television, you cannot guess what will happen
in the next episode.
Sometimes, I turn to analytical information and news to make me feel better and smarter but the feelings
last temporarily only when I pass on what I learn to other people who have no clue about what I have just said.
At the end of conversation, we just separate and go home without knowing what to do about those issues.
Most people strongly believe in the reasons of their consumption. Me either. No one wants to accept that
they consume because they are stimulated or deceived. The oddest part about this is that I know I should not
believe those propagandas but my reaction naturally reverses in the other direction.
I have been told that with difference of opinion, our society will turn to be bipolar. I once believed so until
I found out that the contradiction also exists within me. The division is evident but its boundary is blurred.
Immense amount of information overflows and overlaps one another. Under this circumstance, it seems there is
no ‘point’; still, that does not mean that it is ‘pointless’.
Those with firm stances may create strong movements. Those with elusive attitudes may try to hold on
to something. Either of them is still better than those in between who can go neither forwards nor backwards.
Despite of all that, probably, there is no substance to hold on to or there is no need to hold on to any substance.
In this exhibition, the conclusion varies. All phenomena are melted into one resulting in solid responses.
Although it ‘may be not’, it may be because it ‘cannot be’.

No comments: